วงจรไฟฟ้าคือการนำเอาแหล่งจ่ายไฟฟ้ามาจ่ายแรงดันและกระแสให้กับโหลด โดยผ่านลวดตัวนำ และใช้สวิตช์ในการเปิดปิดวงจรเพื่อตัดหรือต่อกระแสไฟฟ้าที่จ่ายให้กับโหลด ในทางปฏิบัติจะมีฟิวส์ในวงจรเพื่อป้องกันปัญหาข้อผิดพลาดที่จะเกิดกับวงจรและอุปกรณ์ เช่น โหลดเกิน หรือไฟฟ้าลัดวงจร วงจรไฟฟ้าเบื้องต้นที่ควรศึกษามีอยู่ 3 ลักษณะคือ วงจรอนุกรม, วงจรขนานและวงจรผสม

โหลดหรือภาระทางไฟฟ้า คืออุปกรณ์ทางไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ที่นำมาต่อในวงจร เพื่อใช้งาน เช่นตู้เย็น, โทรทัศน์, พัดลม, เครื่องปรับอากาศ, เตารีด, หลอดไฟ, ตัวต้านทาน เป็นต้น
1. วงจรอนุกรม
1. วงจรอนุกรม
วงจรอนุกรมหมายถึง การนำเอาอุปกรณ์ทางไฟฟ้ามาต่อกันในลักษณะที่ปลายด้านหนึ่งของอุปกรณ์ตัวที่ 1 ต่อเข้ากับอุปกรณ์ตัวที่ 2 จากนั้นนำปลายที่เหลือของอุปกรณ์ตัวที่ 2 ไปต่อกับอุปกรณ์ตัวที่ 3 และจะต่อลักษณะนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งการต่อแบบนี้จะทำให้
1.1 กระแสไฟฟ้าไหลไปในทิศทางเดียวกระแสไฟฟ้าภายในวงจรอนุกรมจะมีค่าเท่ากันทุกๆจุด
1.2 ค่าความต้านทานรวมของวงจรอนุกรมนั้นคือการนำเอาค่าความต้านทานทั้งหมดนำมารวมกัน
1.3 ความต่างศักย์ไฟฟ้าในวงจรอนุกรมนั้นความต่างศักย์จะปรากฎคร่อมตัวต้านทานทุกตัวที่จะมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน ซึ่งความต่างศักย์ไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะมีค่าไม่เท่ากันโดยสามารถคำนวนหาได้จากกฎของโอห์ม
รูปวงจรอนุกรม
รูปการต่อวงจรความต้านทานแบบอนุกรม
รูปการใช้โวลต์มิเตอร์วัดความต่างศักย์คร่อมตัวต้านทานแต่ละตัว
รูปการใช้โวลต์มิเตอร์วัดความต่างศักย์รวม
สรุปผลการต่อตัวต้านทานแบบอนุกรม
2. วงจรขนาน
วงจรขนานหมายถึง วงจรที่เกิดจากการต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปให้ขนานกับแหล่งจ่ายไฟมีผลทำให้
2.1 ค่าของความต่างศักย์ไฟฟ้าที่ตกคร่อมอุปกรณ์ไฟฟ้าแต่ละแถวมีค่าเท่ากันและเท่ากับความต่างศักย์ระหว่างขั้วเซลล์ของแหล่งจ่ายไฟ
2.1 ทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้าจะแยกไหลมีตั้งแต่ 2 ทิศทางขึ้นไปตามจำนวนแถวที่ขนานกันของวงจร
2.3 ค่าความต้านทานรวมภายในวงจรขนานจะมีค่าเท่ากับผลรวมของส่วนกลับของค่าความต้านทานทุกตัวรวมกัน ซึ่งค่าความต้านทานรวมภายในวงจรไฟฟ้าแบบขนานจะมีค่าน้อยกว่าค่าความต้านทานภายในสาขาที่มีค่าน้อยที่สุดเสมอ
รูปวงจรขนาน
รูปการต่อตัวต้านทานแบบขนาน
รูปการใช้แอมมิเตอร์วัดกระแสไฟฟ้าแยกไหลผ่านตัวต้านทานขนานแต่ละเส้น
3. วงจรผสม
วงจรผสมหมายถึง การนำอุปกรณ์ไฟฟ้ามาต่อวงจรไฟฟ้าโดยการต่อรวมกันระหว่างวงจรไฟฟ้าแบบอนุกรมกับวงจรไฟฟ้าแบบขนาน ภายในวงจรโหลดบางตัวต่อวงจรแบบอนุกรม และโหลดบางตัวต่อวงจรแบบขนาน การต่อวงจรไม่มีมาตรฐานตายตัว เปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะการต่อวงจรตามต้องการ การวิเคราะห์แก้ปัญหาของวงจรผสม ต้องอาศัยหลักการทำงานตลอดจนอาศัยคุณสมบัติของวงจรไฟฟ้าทั้งแบบอนุกรมและแบบขนาน
รูปวงจรผสม
รูปการต่อตัวต้านทานแบบผสม
กฏของโอห์มและความต้านทานไฟฟ้า
การทดลองของโอห์ม เมื่อต่อปลายของลวดนิโครม ซึ่งเป็นลวดโลหะผสมระหว่างนิกเกิลและโครเมียมกับแหล่งกำเนิดไฟฟ้าจะมีกระแสไฟฟ้าผ่านลวดนิโครม ถ้าความต่างศักย์ของแหล่งกำเนิดไฟฟ้าเปลี่ยน กระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะเปลี่ยนแปลงตาม โดยกระแสไฟฟ้าที่ผ่านลวดนิโครมแปรผันตรงกับความต่างศักย์ระหว่างปลายของลวดนิโครม จึงเขียนเป็นความสัมพันธ์ได้ดังนี้
ค่าคงตัว R นี้เรียกว่า ความต้านทาน (resistance) ของลวดนิโครมที่ใช้ในการทดลองความต้านทานมีหน่วยโวลต์ต่อแอมแปร์ (V/A) หรือเรียกว่า โอห์ม (ohm) แทนด้วยสัญลักษณ์ 
โอห์มได้ค้นพบความสัมพันธ์ตามสมการ เมื่อ พ.ศ. 2369 ความสัมพันธ์นี้เรียกว่า กฎของโอห์ม(ohm’s Law) มีใจความว่า ถ้าอุณหภูมิคงตัว กระแสไฟฟ้าที่ผ่านตัวนำจะแปรผันตรงกับความต่างศักย์ระหว่างปลายของตัวนำนั้น
เมื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ในตัวนำไฟฟ้าชนิดอื่นๆ ได้แก่ โลหะ หลอดไดโอด อิเล็กโทรไลต์ และสารกึ่งตัวนำ ที่อุณหภูมิคงตัว จะได้ดังรูป จะเห็นว่า ตัวนำไฟฟ้าที่เป็นโลหะจะมีความต้านทานคงตัว และเป็นไปตามกฎของโอห์ม ส่วนตัวนำไฟฟ้าอื่น ความต้านทานไม่คงตัวและไม่เป็นไปตามกฎของโอห์ม
(9).jpg)
รูป กราฟระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ของตัวนำไฟฟ้าชนิดต่างๆ
อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวต้านทานไฟฟ้า
ตามปกติวงจรไฟฟ้าทั่วไปมีชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หลายชนิดที่ต่างกันก็มีความต้านทาน เช่น ตัวต้านทาน แอลอีอาร์ เทอร์มีสเตอร์ และไดโอด เป็นต้น ความต้านทานของชิ้นส่วนเหล่านี้ขึ้นกับปัจจัยอะไร และมีผลต่อวงจรไฟฟ้าอย่างไร
2. แอลดีอาร์ (light dependent resistor , LDR)
แอลดีอาร์เป็นตัวต้านทานที่ความต้านทานขึ้นกับความสว่างของแสงที่ตกกระทบแอลดีอาร์มีความต้านทานสูงในที่มืด แต่มีความต้านทานต่ำในที่สว่าง จึงเป็นตัวรับรู้ความสว่าง (light sensor) ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับควบคุมการปิด-เปิดสวิตซ์ด้วยแสง
(11).jpg)
รูป แอลดีอาร์
3. เทอร์มีสเตอร์ (themistor)
เทอร์มีสเตอร์เป็นตัวต้านทานที่ความต้านทานขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมเทอร์มีสเตอร์แบบ NTC (negative temperature coefficient) มีความต้านทานสูงเมื่ออุณหภูมิต่ำ แต่มีความต้านทานต่ำเมื่ออุณหภูมิสูง เทอร์มีสเตอร์จึงเป็นตัวรับรู้อุณหภูมิ (temperature sensor) ในเทอร์มอมิเตอร์บางชนิด
(10).jpg)
รูป เทอร์มีสเตอร์
4. ไดโอด (diode)
ไดโอดทำจากสารกึ่งตัวนำ มีลักษณะและสัญลักษณ์ ดังรูป ไดโอดมีขั้วไฟฟ้าบวกและขั้วไฟฟ้าลบ เมื่อนำไดโอด แบตเตอรี่และแอมมิเตอร์มาต่อเป็นวงจรโดยต่อขั้วบวกและขั้วลบของแบตเตอรี่กับขั้วไฟฟ้าบวกและขั้วไฟฟ้าลบของไดโอดตามลำดับ ดังรูป ก จะพบว่ามีกระแสไฟฟ้าในวงจร การต่อลักษณะนี้เรียกว่า ไบแอสตรง เมื่อสลับขั้วของไดโอดจะพบว่า ไม่มีกระแสไฟฟ้าในวงจร การต่อลักษณะนี้เรียกว่า ไบแอสกลับ ดังรูป ข
รูป ไดโอดและสัญลักษณ์
(11).jpg)
รูป การต่อไดโอดในวงจรไฟฟ้า ก. มีกระแสไหลในวงจร ข. ไม่มีกระแส
ความต้านทานของไดโอดกรณีไบแอสตรงและไบแอสกลับ มีค่าเท่ากันหรือไม่
จะเห็นว่าขณะไบแอสตรง มีกระแสไฟฟ้าในวงจร แสดงว่าไดโอดมีความต้านทานน้อย แต่ขณะไบแอสกลับ ไม่มีกระแสไฟฟ้าในวงจร แสดงว่าไดโอดมีความต้านทานสูงมาก ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ไดโอดยอมให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้ทิศเดียว จากสมบัตินี้จึงใช้ไดโอดแปลงไฟฟ้ากระแสสลับเป็นไฟฟ้ากระแสตรง
สภาพต้านทานไฟฟ้าและสภาพนำไฟฟ้า
เมื่อต่อแบตเตอรี่กับลวดโลหะ แล้ววัดความต่างศักย์ V ระหว่างปลายลวด และกระแสไฟฟ้า I ที่ผ่านลวดนั้น โดยใช้ลวดที่ทำจากโลหะชนิดเดียวกัน มีความยาว l ต่างๆกัน และมีพื้นที่หน้าตัดเท่ากัน พบว่าอัตราส่วนระหว่าง V และ I แปลผันตรงกับความยาว l ของลวดนั้น
หรือ
ถ้าใช้ลวดที่มีความยาวเท่ากัน แต่มีพื้นที่หน้าตัด A ต่างๆ กัน พบว่าอัตราส่วนระหว่าง V และ I แปรผกผันกับ A
หรือ
โดยอาศัยกฎของโอห์มในสมการ สามารถสรุปความสัมพันธ์ระหว่างความต้านทาน R ความยาว l และพื้นที่หน้าตัด A ของลวดโลหะได้ดังนี้
สำหรับสารที่มีสภาพต้านทานมาก จะมีสภาพนำไฟฟ้า (electrical conductivity) น้อย สภาพนำไฟฟ้า
จึงเป็นส่วนกลับของสภาพต้านทาน สัญลักษณ์ สภาพนำไฟฟ้า แทนด้วย "s"
รถไฟแมกเลฟ (Magnetic Levitation Train) เป็นรถไฟอัตราเร็วสูง ขณะเคลื่อนที่ตัวรถจะลอยเหนือรางเล็กน้อย เนื่องจากสนามแม่เหล็กของรางและสนามแม่เหล็กของตัวรถที่ทำจากตัวนำยวดยิ่งผลักกัน ทำให้เกิดแรงยกตัวรถขึ้น รถจึงลอยเหนือรางเป็นการลดแรงเสียดทาน ที่มีผลทำให้รถไฟเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วสูงถึง 513 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
การทดลองของโอห์ม เมื่อต่อปลายของลวดนิโครม ซึ่งเป็นลวดโลหะผสมระหว่างนิกเกิลและโครเมียมกับแหล่งกำเนิดไฟฟ้าจะมีกระแสไฟฟ้าผ่านลวดนิโครม ถ้าความต่างศักย์ของแหล่งกำเนิดไฟฟ้าเปลี่ยน กระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะเปลี่ยนแปลงตาม โดยกระแสไฟฟ้าที่ผ่านลวดนิโครมแปรผันตรงกับความต่างศักย์ระหว่างปลายของลวดนิโครม จึงเขียนเป็นความสัมพันธ์ได้ดังนี้

โอห์มได้ค้นพบความสัมพันธ์ตามสมการ เมื่อ พ.ศ. 2369 ความสัมพันธ์นี้เรียกว่า กฎของโอห์ม(ohm’s Law) มีใจความว่า ถ้าอุณหภูมิคงตัว กระแสไฟฟ้าที่ผ่านตัวนำจะแปรผันตรงกับความต่างศักย์ระหว่างปลายของตัวนำนั้น
(9).jpg)
รูป กราฟระหว่างกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ของตัวนำไฟฟ้าชนิดต่างๆ
อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวต้านทานไฟฟ้า
ตามปกติวงจรไฟฟ้าทั่วไปมีชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หลายชนิดที่ต่างกันก็มีความต้านทาน เช่น ตัวต้านทาน แอลอีอาร์ เทอร์มีสเตอร์ และไดโอด เป็นต้น ความต้านทานของชิ้นส่วนเหล่านี้ขึ้นกับปัจจัยอะไร และมีผลต่อวงจรไฟฟ้าอย่างไร
1.ตัวต้านทาน (resistor)
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความต่างศักย์และกระแสไฟฟ้า ใช้ลวดนิโครมซึ่งมีความต้านทานค่าหนึ่ง จึงถือได้ว่าลวดนิโครมเป็นตัวต้านทานชนิดหนึ่ง ในวงจรทั่วไป ตัวต้านทานมักทำจากผงคาร์บอนอัดแน่นเป็นรูปทรงกระบอกเล็กๆ ตัวต้านทานแบบนี้มีความต้านทานคงตัว เรียกว่า ใช้ลวดนิโครมซึ่งมีความต้านทานค่าหนึ่ง จึงถือได้ว่าลวดนิโครมเป็นตัวต้านทานชนิดหนึ่ง ในวงจรทั่วไป ตัวต้านทานมักทำจากผงคาร์บอนอัดแน่นเป็นรูปทรงกระบอกเล็กๆ ตัวต้านทานแบบนี้มีความต้านทานคงตัว เรียกว่า ตัวต้านทานค่าคงตัว (fixed resistor) เขียนแทนด้วยสัญลักษณ์ และใช้แถบสีบอกความต้านทาน ดังรูป
การอ่านความต้านทานจากแถบสีบนตัวต้านทานแบบ 4-Band-Code
ตัวอย่างการอ่านค่าความต้านทาน
ตัวต้านทานค่าคงตัวในวงจรทำหน้าที่อะไรในวงจร
พิจารณาวงจรที่ประกอบด้วยตัวต้านทานที่ทราบค่ากับแบตเตอรี่ และวัดกระแสไฟฟ้าในวงจรเปลี่ยนตัวต้านทานเป็นค่าอื่น บันทึกกระแสไฟฟ้าทุกครั้ง จะพบว่าเมื่อตัวต้านทานมีค่าเพิ่มขึ้นกระแสไฟฟ้าที่วัดได้มีค่าลดลง เราจึงสามารถกำหนดกระแสไฟฟ้าในวงจรได้โดยใช้ตัวต้านทานที่เหมาะสม หรือกล่าวได้ว่า ตัวต้านทานทำหน้าที่จำกัดค่าของกระแสไฟฟ้าในวงจร
รูปตัวต้านทานแบบคงตัว
นอกจากนี้ยังมีตัวต้านทานที่เปลี่ยนค่าได้ เรียกว่า ตัวต้านทานแปรค่า (variable resistor) ดังรูป ตัวต้านทานแปรค่าที่ใช้กันทั่วไปประกอบด้วย แถบความต้านทานซึ่งอาจทำด้วยแกรไฟต์หรือลวดพันต่อกับขา 1 และ 3 และหน้าสัมผัสต่อกับขา 2 การปรับเปลี่ยนความต้านทานทำได้โดนการเลื่อนหน้าสัมผัสไปบนแถบความต้านทาน การนำตัวต้านทานแปรค่าไปใช้ควบคุมกระแสไฟฟ้าในวงจรทำได้โดยการต่อขา 1 หรือ ขา 3 ขาใดขาหนึ่งและขา 2 กับวงจร ดังรูป
เมื่อเลื่อนหน้าสัมผัสของตัวต้านทานแปรค่าในวงจร ในรูป จากตำแหน่งที่ 1 ไปยังตำแหน่งที่ 3 ความต้านทานจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นกระแสไฟฟ้าในวงจรจะลดลง ถ้าเลื่อนหน้าสัมผัสในทิศตรงข้าม ทำให้ความต้านทานลดลงและกระแสไฟฟ้าจะสูงขึ้น ตัวต้านทานแปรค่าที่ทำหน้าที่ควบคุมกระแสไฟฟ้าในวงจร เรียกว่าตัวควบคุมกระแส
ตัวต้านทานแปรค่านิยมใช้ควบคุมกระแสไฟฟ้า วงจรในรูป ใช้ตัวต้านทานแปรค่าควบคุมความสว่างของหลอดไฟ และใช้ปรับความดังของเสียงในเครื่องเสียงต่างๆ นอกจากนี้ยังใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญของเครื่องวัดบางชนิด เช่น โอห์มมิเตอร์และเครื่องวัดปริมาณน้ำมันในรถยนต์ เป็นต้น
2. แอลดีอาร์ (light dependent resistor , LDR)
แอลดีอาร์เป็นตัวต้านทานที่ความต้านทานขึ้นกับความสว่างของแสงที่ตกกระทบแอลดีอาร์มีความต้านทานสูงในที่มืด แต่มีความต้านทานต่ำในที่สว่าง จึงเป็นตัวรับรู้ความสว่าง (light sensor) ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์สำหรับควบคุมการปิด-เปิดสวิตซ์ด้วยแสง
(11).jpg)
รูป แอลดีอาร์
3. เทอร์มีสเตอร์ (themistor)
เทอร์มีสเตอร์เป็นตัวต้านทานที่ความต้านทานขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมเทอร์มีสเตอร์แบบ NTC (negative temperature coefficient) มีความต้านทานสูงเมื่ออุณหภูมิต่ำ แต่มีความต้านทานต่ำเมื่ออุณหภูมิสูง เทอร์มีสเตอร์จึงเป็นตัวรับรู้อุณหภูมิ (temperature sensor) ในเทอร์มอมิเตอร์บางชนิด
(10).jpg)
รูป เทอร์มีสเตอร์
4. ไดโอด (diode)
ไดโอดทำจากสารกึ่งตัวนำ มีลักษณะและสัญลักษณ์ ดังรูป ไดโอดมีขั้วไฟฟ้าบวกและขั้วไฟฟ้าลบ เมื่อนำไดโอด แบตเตอรี่และแอมมิเตอร์มาต่อเป็นวงจรโดยต่อขั้วบวกและขั้วลบของแบตเตอรี่กับขั้วไฟฟ้าบวกและขั้วไฟฟ้าลบของไดโอดตามลำดับ ดังรูป ก จะพบว่ามีกระแสไฟฟ้าในวงจร การต่อลักษณะนี้เรียกว่า ไบแอสตรง เมื่อสลับขั้วของไดโอดจะพบว่า ไม่มีกระแสไฟฟ้าในวงจร การต่อลักษณะนี้เรียกว่า ไบแอสกลับ ดังรูป ข
รูป ไดโอดและสัญลักษณ์
(11).jpg)
รูป การต่อไดโอดในวงจรไฟฟ้า ก. มีกระแสไหลในวงจร ข. ไม่มีกระแส
ความต้านทานของไดโอดกรณีไบแอสตรงและไบแอสกลับ มีค่าเท่ากันหรือไม่
จะเห็นว่าขณะไบแอสตรง มีกระแสไฟฟ้าในวงจร แสดงว่าไดโอดมีความต้านทานน้อย แต่ขณะไบแอสกลับ ไม่มีกระแสไฟฟ้าในวงจร แสดงว่าไดโอดมีความต้านทานสูงมาก ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ไดโอดยอมให้กระแสไฟฟ้าผ่านได้ทิศเดียว จากสมบัตินี้จึงใช้ไดโอดแปลงไฟฟ้ากระแสสลับเป็นไฟฟ้ากระแสตรง
เมื่อต่อแบตเตอรี่กับลวดโลหะ แล้ววัดความต่างศักย์ V ระหว่างปลายลวด และกระแสไฟฟ้า I ที่ผ่านลวดนั้น โดยใช้ลวดที่ทำจากโลหะชนิดเดียวกัน มีความยาว l ต่างๆกัน และมีพื้นที่หน้าตัดเท่ากัน พบว่าอัตราส่วนระหว่าง V และ I แปลผันตรงกับความยาว l ของลวดนั้น
หรือ

ถ้าใช้ลวดที่มีความยาวเท่ากัน แต่มีพื้นที่หน้าตัด A ต่างๆ กัน พบว่าอัตราส่วนระหว่าง V และ I แปรผกผันกับ A
หรือ

โดยอาศัยกฎของโอห์มในสมการ สามารถสรุปความสัมพันธ์ระหว่างความต้านทาน R ความยาว l และพื้นที่หน้าตัด A ของลวดโลหะได้ดังนี้
ถ้าทดลองโดยใช้ลวดที่ทำด้วยโลหะต่างชนิดกัน พบว่าค่าคงตัวในสมการ จะไม่เท่ากัน ขึ้นกับชนิดของสาร ค่าคงตัว p นี้เรียกว่า สภาพต้านทานไฟฟ้า (electrical resistivity) ซึ่งมีหน่วยโอห์ม เมตร
ตาราง แสดงสภาพต้านทานไฟฟ้าของสารต่างๆ ที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส
การเปรียบเทียบความต้านทานไฟฟ้าของลวดตัวนำ 2 เส้น
สภาพต้านทานไฟฟ้าและความต้านทานต่างกันอย่างไร
การเปรียบเทียบความต้านทานไฟฟ้าของลวดตัวนำ 2 เส้น
สภาพต้านทานไฟฟ้าและความต้านทานต่างกันอย่างไร
สภาพต้านทานไฟฟ้าของสารชนิดเดียวกันมีค่าเท่ากัน ส่วนความต้านทานของสารชนิดเดียวกันอาจต่างกัน เพราะ ขึ้นกับความยาวและพื้นที่หน้าตัดของสารนั้น จึงกล่าวได้ว่าสภาพต้านทานไฟฟ้าเป็นสมบัติเฉพาะของสารชนิดหนึ่งๆ ส่วนความต้านทานขึ้นกับขนาดสารแต่ละชิ้น สารที่มีความต้านทานมากจะยอมให้กระแสไฟฟ้าผ่านน้อย จึงกล่าวว่าสารนั้นมีความนำไฟฟ้า (electrical conductance) น้อย ดังนั้น ความนำไฟฟ้าจึงเป็นส่วนกลับของความต้านทานไฟฟ้า และมีหน่วย (โอห์ม)-1 หรือ ซีเมนส์ (siemens) แทนด้วยสัญลักษณ์ S สำหรับสารที่มีสภาพต้านทานไฟฟ้ามากจะมี สภาพนำไฟฟ้า (electrical conductivity) น้อย สภาพนำไฟฟ้าเป็นส่วนกลับของสภาพต้านทานไฟฟ้า มีหน่วย (โอห์ม)-1 หรือ ซีเมนส์ต่อเมตร
ความนำไฟฟ้าเป็นส่วนกลับของความต้านทาน สัญลักษณ์ ความนำไฟฟ้า แทนด้วย "G"
สำหรับสารที่มีสภาพต้านทานมาก จะมีสภาพนำไฟฟ้า (electrical conductivity) น้อย สภาพนำไฟฟ้า
จึงเป็นส่วนกลับของสภาพต้านทาน สัญลักษณ์ สภาพนำไฟฟ้า แทนด้วย "s"
อิทธิพลของอุณหภูมิที่มีต่อความต้านทาน
การศึกษาความต้านทานของสารชนิดต่างๆ ที่กล่าวมานี้เป็นการศึกษากรณีที่อุณหภูมิคงตัวค่าหนึ่ง ถ้าอุณหภูมิของสารเปลี่ยนไป ความต้านทานจะเปลี่ยนไปหรือไม่อย่างไร จะได้ศึกษาโดยแยกพิจารณาตามประเภทของสารดังต่อไปนี้
ฉนวน ฉนวนเป็นสารที่สภาพต้านทานสูง ตัวอย่างของฉนวน ได้แก่ แก้ว ไมกา พีวีซี ยาง กระเบื้อง เป็นต้น การศึกษาสภาพต้านทานของฉนวนที่อุณหภูมิสูงๆ พบว่า สภาพต้านทานจะลดลงเล็กน้อย และถ้านำฉนวนไปต่อกับความต่างศักย์ที่สูงมาก ฉนวนจะกลายเป็นตัวนำไฟฟ้าได้
สารกึ่งตัวนำ สารกึ่งตัวนำมีสภาพต้านทานอยู่ระหว่างตัวนำและฉนวน แต่มีค่าสูงกว่าสภาพต้านทานของตัวนำมาก เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น พบว่า สภาพต้านทานจะลดลงอย่างรวดเร็ว แสดงว่าการนำไฟฟ้าจะดีขึ้น ดังนั้นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีอุปกรณ์ประเภทสารกึ่งตัวนำประกอบอยู่ในวงจรจึงทำงานเป็นปกติเฉพาะในช่วงอุณหภูมิที่กำหนดไว้
ตัวนำ ตัวนำเป็นสารที่มีสภาพต้านทานต่ำ เมื่อวัดความต้านทานของตัวนำที่เป็นโลหะบริสุทธิ์ เช่น แพลทินัม ทองแดง เงิน เป็นต้น ที่อุณหภูมิต่างๆ พบว่าโดยประมาณแล้ว ความต้านทานจะแปรผันตรงกับอุณหภูมิสัมบูรณ์ ความรู้นี้จึงนำไปใช้สร้าง เทอร์มอมิเตอร์ชนิดความต้านทาน ส่วนตัวนำที่เป็นโลหะผสมบางชนิด พบว่า เมื่อมีอุณหภูมิเปลี่ยน ความต้านทานจะเปลี่ยนน้อยมาก ความรู้นี้นำไปใช้สร้าง ตัวต้านทานมาตรฐาน ซึ่งมีความต้านทานคงตัว เช่น ตัวต้านทานที่ทำด้วยแมงกานิน เป็นต้น
กราฟความสัมพันธ์ระหว่างความต้านทานของโลหะบริสุทธิ์กับอุณหภูมิ
ตัวนำยิ่งยวด เมื่อ พ.ศ. 2454 นักฟิสิกส์ชาวเนเธอร์แลนด์ ชื่อ ออนเนส ได้ทดลองวัดความต้านทานของปรอทบริสุทธิ์ที่อุณหภูมิใกล้ศูนย์เคลวิน พบว่าความต้านทานของปรอทลดลงเป็นศูนย์ที่อุณหภูมิ 4.2 เคลวิน ดังรูป อุณหภูมินี้เรียกว่า อุณหภูมิวิกฤต ปรอทจะอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า สภาพนำยวดยิ่ง (superconductivity) กล่าวคือ ปรอทจะมีสภาพต้านทานไฟฟ้าเป็นศูนย์หรือมีการนำไฟฟ้าดีที่สุด
ความรู้เกี่ยวกับสภาพนำยวดยิ่งนำไปสร้างอุปกรณ์ต่างๆ เช่น
เครื่องเร่งอนุภาคกำลังสูง เป็นเครื่องมือสำหรับทำให้อนุภาคที่มีประจุไฟฟ้ามีพลังงานจลน์สูงมาก เพื่อใช้ในการวิจัยทางด้านฟิสิกส์นิวเคลียร์และฟิสิกส์อนุภาค ซึ่งมีหลักการ คือ ใช้สนามแม่เหล็กความเข้มสูงที่เกิดจากกระแสไฟฟ้าในตัวนำยวดยิ่ง เมื่อจะเร่งอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าให้มีพลังงานสูง ต้องให้อนุภาคเคลื่อนที่เป็นวงกลมซ้ำๆกัน การจะทำได้เช่นนี้ต้องใช้สนามแม่เหล็กความเข้มสูงมาก ถ้าใช้ลวดตัวนำธรรมดา การจะสร้างสนามแม่เหล็กความเข้มสูงต้องใช้กระแสไฟฟ้าสูง ลวดจะร้อนจนหลอมเหลว แต่ถ้าใช้ลวดที่ทำด้วยตัวนำยวดยิ่งซึ่งมีความต้านทานเป็นศูนย์ กระแสไฟฟ้าจะไม่ทำให้ลวดร้อนแต่ประการใด กระแสไฟฟ้าที่สูงจึงสามารถสร้างสนามแม่เหล็กความเข้มสูงได้
รถไฟแมกเลฟ (Magnetic Levitation Train) เป็นรถไฟอัตราเร็วสูง ขณะเคลื่อนที่ตัวรถจะลอยเหนือรางเล็กน้อย เนื่องจากสนามแม่เหล็กของรางและสนามแม่เหล็กของตัวรถที่ทำจากตัวนำยวดยิ่งผลักกัน ทำให้เกิดแรงยกตัวรถขึ้น รถจึงลอยเหนือรางเป็นการลดแรงเสียดทาน ที่มีผลทำให้รถไฟเคลื่อนที่ด้วยอัตราเร็วสูงถึง 513 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
รูป รถไฟแมกเลฟต้นแบบสร้างโดยสถาบันวิจัยรถไฟของญี่ปุ่น
เนื่องจากอุณหภูมิวิกฤตของสารต่างๆ มีค่าต่ำมาก การทำให้สารแสดงสภาพนำยวดยิ่งจึงต้องใช้ฮีเลียมเหลว (ที่อุณหภูมิ -269 องศาเซลเซียส) ซึ่งมีราคาแพง ดังนั้นการนำตัวนำยวดยิ่งไปใช้ประโยชน์จึงไม่แพร่หลาย จนกระทั่ง พ.ศ. 2530 นักฟิสิกส์ได้ค้นพบ ตัวนำยวดยิ่งอุณหภูมิสูง ซึ่งเป็นสารประกอบของอิตเทรียม (Y) แบเรียม (Ba) ทองแดง (Cu) และออกซิเจน (O) สารใหม่นี้เป็นตัวนำยวดยิ่งที่มีอุณหภูมิวิกฤติสูงถึง 90 เคลวิน จึงสามารถใช้ ไนโตรเจนเหลว ซึ่งมีอุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส หรือ 77 เคลวิน) ซึ่งมีราคาถูกกว่าแทนฮีเลียมเหลวได้ การค้นพบตัวนำยวดยิ่งอุณหภูมิสูงได้กระตุ้นให้มีการวิจัยและพัฒนาเพื่อนำตัวนำยวดยิ่งมาใช้ประโยชน์ให้กว้างขวางมากขึ้น
แนวข้อสอบ
1. จากความสัมพันธ์ตามกฏของโอห์ม ถ้าความต่างศักย์ไฟฟ้าเพิ่มเป็น 2 เท่า กระแสไฟฟ้าจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
2. กราฟความสัมพันธ์ระหว่างกระแสกับความต่างศักย์จากการทดลองกฏของโอห์ม ถ้าให้แกน y แทนกระแสไฟฟ้า และแกน x แทนความต่างศักย์ ความต้านทานของตัวนำในการทดลองนี้เกี่ยวข้องกับความชันของเส้นกราฟอย่างไร
3. จากกฏของโอห์ม จะได้สูตรอย่างไร
4. ตัวต้านทานไฟฟ้าทำหน้าที่อะไรในวงจรไฟฟ้า
5. ตัวต้านทานคงที่ ที่มีแถบสีแดง, เขียว, แดง, ทอง อ่านค่าความต้านทานไฟฟ้าได้เท่าไร
6. ความต้านทานของสารชนิดหนึ่งที่มีความยาว 1 เมตร และมี พท. ภาคตัดขวาง 1 ตร.ม. เรียกว่าอะไร
7. “ พี.วี.ซี. มีสภาพต้านทาน 1018 โอห์ม-เมตร” หมายความว่าอย่างไร
8. สภาพนำไฟฟ้าเกี่ยวข้องกับสภาพต้านทานไฟฟ้าอย่างไร
9. ความต้านทานไฟฟ้า( R ) ของตัวนำที่มีความยาว L พื้นที่หน้าตัด A ค่าของ R มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับ L และ A อย่างไร
500 เมตร จะมีความต้าน ทานเท่าใด ให้สภาพต้านทานของทองแดง 1.8 x 10-8 โอห์มเมตร
12. ลวด A ยาวเป็นสองเท่าของลวด B และมีสภาพต้านทานเป็น 3 เท่าของลวด B ถ้าลวด B มีพื้นที่หน้าตัดเป็น 1/4 เท่าของลวด A จงหาอัตราส่วนของความต้านทานของลวด A ต่อลวด B
13. ลวดตัวนำขนาดสม่ำเสมอเส้นหนึ่งยาว 1 เมตร วัดความต้านทานได้ 0.2 โอห์ม ถ้ามีตัวนำชนิดเดียวกันแต่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง ถ้าต้องการให้มีความต้านทาน 0.8 โอห์ม ต้องใช้ลวดยาวเท่าใด
14. เมื่อยืดลวดเส้นหนึ่งให้มีเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กลงกว่าเดิมเป็น n เท่าของเดิม ความต้านทานของลวดจะเป็นกี่เท่าของเดิม
15. เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น สารใดบ้างมีสภาพต้านไฟฟ้าลดลง
1.โลหะบริสุทธิ์ 2.สารกึ่งตัวนำ 3.โลหะผสม 4.ฉนวน
16. ตัวนำยิ่งยวดคืออะไร
2. กราฟความสัมพันธ์ระหว่างกระแสกับความต่างศักย์จากการทดลองกฏของโอห์ม ถ้าให้แกน y แทนกระแสไฟฟ้า และแกน x แทนความต่างศักย์ ความต้านทานของตัวนำในการทดลองนี้เกี่ยวข้องกับความชันของเส้นกราฟอย่างไร
3. จากกฏของโอห์ม จะได้สูตรอย่างไร
4. ตัวต้านทานไฟฟ้าทำหน้าที่อะไรในวงจรไฟฟ้า
5. ตัวต้านทานคงที่ ที่มีแถบสีแดง, เขียว, แดง, ทอง อ่านค่าความต้านทานไฟฟ้าได้เท่าไร
6. ความต้านทานของสารชนิดหนึ่งที่มีความยาว 1 เมตร และมี พท. ภาคตัดขวาง 1 ตร.ม. เรียกว่าอะไร
7. “ พี.วี.ซี. มีสภาพต้านทาน 1018 โอห์ม-เมตร” หมายความว่าอย่างไร
8. สภาพนำไฟฟ้าเกี่ยวข้องกับสภาพต้านทานไฟฟ้าอย่างไร
9. ความต้านทานไฟฟ้า( R ) ของตัวนำที่มีความยาว L พื้นที่หน้าตัด A ค่าของ R มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับ L และ A อย่างไร
10. ลวด 2 เส้น A และ B ทำด้วยโลหะชนิดเดียวกัน เมื่อวัดความต้านทานปรากฏว่าได้เท่ากัน สรุปได้ว่า
ก. ลวดทั้งสองเส้นยาวเท่ากัน ข. ลวดทั้งสองเส้นมีพื้นที่หน้าตัดเท่ากัน
ค. ลวดทั้งสองเส้นมีสภาพต้านทานเท่ากัน ง. ถูกทั้งข้อ (ก) และ (ข)
11. ลวดทองแดงเส้นหนึ่งมีพื้นที่หน้าตัด 1.2 ตารางมิลลิเมตร ยาว 12. ลวด A ยาวเป็นสองเท่าของลวด B และมีสภาพต้านทานเป็น 3 เท่าของลวด B ถ้าลวด B มีพื้นที่หน้าตัดเป็น 1/4 เท่าของลวด A จงหาอัตราส่วนของความต้านทานของลวด A ต่อลวด B
13. ลวดตัวนำขนาดสม่ำเสมอเส้นหนึ่งยาว 1 เมตร วัดความต้านทานได้ 0.2 โอห์ม ถ้ามีตัวนำชนิดเดียวกันแต่ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง ถ้าต้องการให้มีความต้านทาน 0.8 โอห์ม ต้องใช้ลวดยาวเท่าใด
1.โลหะบริสุทธิ์ 2.สารกึ่งตัวนำ 3.โลหะผสม 4.ฉนวน
16. ตัวนำยิ่งยวดคืออะไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น